เกร็ดความรู้

Press Release  
เตือน : วัยรุ่นหญิงสูบบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  >> http://www.ashthailand.or.th/th/news_page.php?id=1380


ล้างจมูกทุกวัน ช่วยลดหวัด ต้านภูมิแพ้ได้นะ

ขนจมูก เป็นตัวกรองอากาศอย่างดีก่อนที่อากาศที่เป็นพิษหรือสิ่งสกปรกจะเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ควันพิษจากท่อไอเสีย ฝุ่นควัน หรือ ก๊าซพิษ จะเข้าสู่จมูกได้น้อยลง ตราบใดที่เรายังไม่กำจัดขนจมูกออกไป 

แต่เพราะมันสามารถดักจับความสกปรกได้ โพรงจมูกจึงเป็นส่วนของอวัยวะที่จำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาดอยู่เสมอ มิเช่นนั้น ร่างกายก็จะป่วยได้ง่าย

การทำความสะอาดโพรงจมูกในที่นี้ ก็คือ “การล้างจมูก” นั่นเอง ใครอยากรู้วิธีล้างจมูกที่ถูกต้อง ทำแล้วไม่สำลักน้ำ และช่วยลดปัญหาหรืออาการป่วยบ่อยๆได้ ต้องมาเรียนรู้ไปพร้อมๆกันค่ะ

การสวนล้างโพรงจมูก ทำเพื่อชะล้างเอาน้ำมูก หนอง หรือ สิ่งสกปรกออกมาจากจมูก การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดประโยชน์ของการล้างจมูกอยู่อย่างหลากหลาย เช่น
1. ลดอาการคัดจมูก ลดอาการน้ำมูกไหลลงคอ และอาการจามลง
2. โพรงจมูกเกิดความชุ่มชื้น
3. ช่วยให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น

ซึ่งจะเห็นว่าประโยชน์ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่ทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้นได้ทั้งนั้น

สำหรับใครที่คิดจะเริ่มต้นดูแลตัวเองด้วยการล้างจมูกตั้งแต่วันนี้ มาลองดูดีกว่าว่าคุณต้องหาอุปกรณ์อะไรติดตัวไว้บ้าง

อุปกรณ์

1. น้ำเกลือปราศจากเชื้อ Sodium Chloride 0.9% w/v 
2. ไซรินจ์ (Syringe) ขนาด 5-50 มิลลิลิตร
3. ภาชนะรองน้ำ
4. กระดาษทิชชู่
5. แก้วสะอาด

6. จุกล้างจมูก
อุปกรณ์ทุกอย่างนี้ต้องเตรียมให้สะอาด รวมถึงต้องล้างมือเราให้สะอาดด้วย ส่วนน้ำเกลือต้องอุ่นให้มีอุณหภูมิพอเหมาะกับเยื่อบุจมูก เพราะการใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้อุ่นอาจทำให้เกิดการคัดจมูกได้

วิธีการล้างจมูก

1. ดูดน้ำเกลือเข้าไซรินจ์จนเต็ม สวมจุกล้างจมูกเข้าที่ปลายไซรินจ์
2. โน้มตัวลงบนอ่างล้างหน้าหรือภาชนะรองน้ำ ดันจุกล้างจมูกให้แนบสนิทกับรูจมูกข้างหนึ่ง
3. กลั้นหายใจ ก้มหน้า และอ้าปากไปพร้อมๆกัน
4. ค่อยๆฉีดน้ำเกลือในไซรินจ์เข้าไปในรูจมูกอย่างช้าๆ น้ำเกลือจะค่อยๆไหลเข้าไปและไหลออกทางรูจมูกอีกด้านหนึ่ง ใครที่ฉีดน้ำเกลือเข้าจมูกแรงๆ อาจทำให้โพรงจมูกระคายเคืองหรืออักเสบได้
5. สั่งน้ำมูกที่ค้างอยู่ออกเบาๆ โดยสั่งพร้อมๆกันทั้ง 2 ข้าง หรือบ้วนน้ำเกลือส่วนเกินที่ไหลเข้าปากทิ้งไป ระวัง! อย่าสั่งน้ำมูกแรงเกินไป เพราะจะทำให้หูอื้อหรือหูอักเสบได้
6. ล้างจมูกอีกข้างด้วยวิธีการเดียวกัน

ข้อควรระวัง

หากหาน้ำเกลือปราศเชื้อไม่ได้ ห้ามใช้น้ำเปล่าในการล้างจมูกเด็ดขาด เพราะน้ำเปล่าที่สกปรกเสี่ยงต่อการเกิดการระคายเคืองและอาจทำให้เกิดการสำลักน้ำได้

หากใครไม่สะดวกใช้ไซรินจ์ ปัจจุบันก็มีอุปกรณ์มากมายที่ออกแบบมาใหม่ให้ง่ายต่อการล้างจมูก ทั้งสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ลองไปหาซื้อกันได้เลยค่ะ

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน คุณก็สามารถล้างจมูกได้ทุกวัน เพราะจมูกถูกใช้งานทุกวันไม่มีวันหยุด แม้แต่เวลานอนคุณก็ยังปฏิเสธการหายใจไม่ได้ ใครอยากหายป่วยไวๆ ไม่อยากเป็นหวัด คัดจมูก หรือมีน้ำมูกบ่อยๆ การล้างจมูกเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่คุณจำเป็นต้องทำเป็นอย่างมากที่สุด



อันตรายที่มากับ`ถัวลิสงป่น`

อีกหนึ่งในสาเหตุของมะเร็ง คือ อะฟลา ทอกซิน ที่มักจะมีการปนเปื้อนในอาหารแห้ง เช่น พริกป่น กระเทียม หอม กุ้งแห้ง ที่เก็บรักษาไม่ดี สารพิษนี้มาจากเชื้อรา เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ
        
วิธีการหลีกเลี่ยง ผศ.ดร.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี อาจารย์สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ยากพอสมควร กรณีถ้าเห็นเป็นเชื้อราดำๆ ทิ้งได้เลย อย่าเสียดายเอาไปล้างน้ำแล้วใช้ต่อ เพราะอะฟลาทอกซินไม่มีสี ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ และยังทนความร้อนได้ถึง 260 องศา นั่นคือแม้เอามาหุงต้มหรือปรุงอาหาร ก็ไม่ทำให้สารพิษนี้หายไปได้

ฉะนั้น ถ้าเป็น "ถั่วป่น" ก็ควรทำเอง หรือถ้าซื้อก็ซื้อพอแค่ใช้ และต้องวางใจในแหล่งที่มาของถั่วถ้าเป็น "หอม/กระเทียม" ควรเก็บในที่โปร่ง ส่วน "พริกแห้ง"ให้ใส่ถุงมัดปากให้สนิท อาจจะเก็บไว้ในตู้เย็น และเมื่อหยิบมาใช้แล้วต้องรีบเก็บเข้าตู้เย็นทันที ป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อรา ส่วนประเด็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เอาเป็นว่า พิจารณากันเป็นร้านๆ ไปก็แล้วกันค่ะ


7 สิ่งที่ควรเติมในน้ำเปล่า ช่วยดีท็อกซ์ และบูทระบบย่อยอาหาร

บำรุงระบบย่อยอาหาร ด้วยการดีท็อกซ์แบบง่าย ๆ แค่เติมส่วนผสมเหล่านี้ลงไปในน้ำเปล่าแล้วดื่มให้เป็นนิสัย ก็บอกลาอาการอึดอัดและถ่ายไม่คล่องไปได้เลย

ปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารไม่ได้แค่ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย แต่ยังอาจเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก


ดวงตาบอกโรค

สมุนไพรที่ช่วยดูแลหัวใจ


🌿🍃ผักใบเขียว 5 ชนิดนี้ ช่วยแก้อาการ “ปวดประจำเดือน” ได้ผล 100%🌱🌿

1. ผักบุ้ง
- มีแร่ธาตุ และวิตามินที่ช่วยบำรุงเลือด
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นจึงช่วยลดอาการปวดได้

2. ผักปวยเล้ง
- อุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียม ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนให้น้อยลง
- นอกจากนั้นยังให้วิตามิน ธาตุเหล็ก แคลเซียม และโฟเลต ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

3. คะน้า
- เป็นผักใบเขียวที่มีแมกนีเซียมสูงไม่แพ้ผักปวยเล้ง
- หาซื้อมาทานได้ง่ายตามท้องตลาด

4. ใบตำลึง
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
- นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย

5. กะหล่ำปลี
- ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
- เพราะกะหล่ำปลีมีสารที่ช่วยปรับฮอร์โมนเอสโตเจน ฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ก็ได้ทราบถึงผักใบเขียว 5 ชนิดที่ช่วยแก้ปวดประจำเดือนกันไปแล้ว ส่วนสาวๆคนไหนที่กำลังประสบกับปัญหาอาการปวดประจำเดือนอยู่ละก็ ก็ลองไปหาซื้อผักตามด้านบนมารับประทานได้เลยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย รับรองว่าอาการปวดประจำเดือนของสาวๆจะบรรเทาลงได้อย่างแน่นอนค่ะ


อาหารปิ้งย่างแหล่งกระตุ้นมะเร็ง! 

10 วิธีกินอาหารปิ้งย่างให้ปลอดภัย ห่างไกลอ้วน ห่างไกลมะเร็ง

อันตรายจากอาหารปิ้งย่างเพราะมีแหล่งกระตุ้นมะเร็งอย่างดี ดังนี้คือ

- ควันจากไขมันสัตว์ ที่ถูกความร้อนสูงในสารกลุ่มไฮโดรคาร์บอน

- เนื้อแดงที่ถูกความร้อนสูง ในสารกลุ่มเอมีนส์

- ไขมันในเนื้อสัตว์ และน้ำมันพืชที่ใช้ประกอบอาหารมีแคลอรีสูง

10 วิธีกินอาหารปิ้งย่างให้ปลอดภัย ห่างไกลอ้วน ห่างไกลมะเร็ง
1. เลือกร้านที่อากาศถ่ายเท
2. เลือกเนื้อปลา ไก่ ไม่ติดหนัง ไขมันน้อยกว่าหมู วัว
3. ตัดส่วนเป็นมันออกก่อนปิ้งย่าง
4. อบเนื้อให้สุกพอเหมาะ ลดเวลาในการปิ้งย่าง
5. ไม่ปิ้งเกรียมเกินไป 
6. ทำความสะอาดรอยไหม้ที่ติดตะแกรงบ่อยๆ
7. เลี่ยงกินเนื้อแปรรูป อาทิ เบคอน ไส้กรอก
8. ดื่มน้ำเปล่า ไม่ควรดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
9. หมักเนื้อด้วยมะนาว สะระแหน่ มินท์ โรสแมรี ลดสารก่อมะเร็ง
10. กินอาหารปิ้งย่างต้องกินผักด้วยทุกครั้ง

อย่างไรก็ตามแอดมินแนะนำว่าอย่ากินอาหารปิ้งบ่อยเกินไปนานๆกินทีจะดีมาก ถ้ามื้อไหนเลี่ยงไม่ได้จริงๆ หลังกินเสร็จให้ดื่มขานราห์ และกินแคปซูลนราห์ตามไป 3-4 เม็ดนะคะ
Comments